หน่วยย่อยที่ 4
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์
การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ สาเหตุของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ได้มีการนำเสนอกันมาหลายปีแล้ว
จากทฤษฏีซึ่งได้เคยมีผู้เสนอจำนวนมาก มีคนนับได้ถึง
95 ทฤษฏีที่ต่างกัน
ตั้งแต่ความคิดที่ว่าพระเจ้ากลับลงมาในโลกและทำลายล้างด้วยปืนรังสี
จนถึงความคิดว่ามันตายเนื่องจากท้องผูกหรือท้องเสีย
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของพืชที่เป็นอาหารในยุคนั้น
แต่มาถึงปัจจุบันนี้ได้ยอมรับความคิดของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย
รวมกันเหลือเป็นเพียง 2 ทฤษฏี คือ
ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องกับการสูญพันธุ์
ทฤษฏีแรกเป็นทฤษฏีของจักรวาลซึ่งให้ความเห็นว่ามีบางอย่างจากนอกโลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชีวิตบนโลก
เมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว
สิ่งที่กล่าวขวัญกันถึงมากเป็นพิเศษ คือ
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยอุกกาบาตขนาดใหญ่ตกลงมาในโลก
ซึ่งผลของการตกทำให้โลกเกิดความเสียหาย
ส่งผลให้เกิดฝุ่นและไอน้ำจำนวนมาก
กระจายขึ้นสู่บรรยากาศบดบังแสงอาทิตย์
เป็นเวลาแรมเดือน หรือแรมปี
ยังผลให้โลกเกิดเย็นลงและมืด
เป็นสาเหตุที่ฆ่าสัตว์และพืชรวมทั้งไดโนเสาร์
 |
ภาพจินตนาการเหตุการณ์เมื่อ 65
ล้านปีก่อนเมื่ออุกกาบาตขนาดใหญ่ตกใส่โลก
ส่งผลให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ที่มา:http://newsbbc.co.uk
ทฤษฏีที่สอง
มาจากความรู้ที่ว่า ทวีปต่าง ๆ
บนโลกมีการเคลื่อนไหวจากกระบวนการที่รู้จักกันในนาม
ทวีปจร (Continental Drift)
และเกิดเนื่องจากทวีปต่างๆ อยู่บนผิวเปลือกโลกบาง
ซึ่งหุ้มห่อภายในโลกที่เป็นของเหลวร้อนเหมือนลาวาที่ไหลออกมาจากภูเขาไฟ
ในขณะที่หินเหลวร้อนภายในโลกเคลื่อนไหวนั้น
ก็จะดึงเอาเปลือกโลกเคลื่อนตัว
ซึ่งจะทำให้ทวีปเคลื่อนที่ไปเหมือนกับมันอยู่บนสายพานขนาดยักษ์นั่นเอง ในช่วงเวลาที่ไดโนเสาร์มีชีวิตอยู่
โลกค่อนข้างอบอุ่น
เหมาะกับสัตว์เลี้อยคลาน ขนาดยักษ์
จนกระทั่งปลายสมัยของยุคไดโนเสาร์
เราจะพบว่าพืชค่อยๆ
เปลี่ยนเป็นพวกที่ชอบอากาศเย็นขึ้น
ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า
สภาพอากาศของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ
และเป็นสิ่งที่ไดโนเสาร์ไม่ชอบ
เราจะเริ่มพบสัตว์ที่ชอบอากาศเย็นกว่าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนหนา
เริ่มมีมากกว่าพวกไม่มีขน คำอธิบายนี้ก็คือ
ทวีปได้เคลื่อนไปมากในช่วงเวลา 140 ล้านปี
ที่ซึ่งไดโนเสาร์อยู่อาศัย
และอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไป
 |
ภาพแสดงความเปลี่ยนแปลงของทวีปและอากาศ
แบบค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อย
ซึ่งพวกโดโนเสาร์ไม่ชอบจนต้องสูญพันธุ์ ที่มา:www.das.uwyo.edu/
geerts/cwx/notes/chap15/ancient_files
จากทฤษฏีแรกที่บอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยการพุ่งชนของอุกกาบาต
ในขณะที่อีกทฤษฏีหนึ่งกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อยของอากาศ
ซึ่งอาจจะเป็นพันหรือเป็นล้านปีก็ได้
ในขณะนี้ความรู้ที่เราได้ไม่สามารถจะบอกได้ว่าทฤษฏีไหนจะถูกกว่ากัน
ในขณะที่กลุ่มที่เชื่อทฤษฏีดาวตก มีเหตุผลว่า
เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าไดโนเสาร์ตายไปทั้งหมดอย่างทันทีทันใด
ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีการพบไดโนเสาร์อีกเลย
หลังจากยุคครีเทเชียสแล้ว
และยังเชื่อว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่าดาวตกเป็นเหตุให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
เพราะว่าเขาพบชั้นดินที่สะสมตัวในช่วงปลายยุคครีเทเชียส
มีส่วนประกอบของแร่ตัวหนึ่ง
ซึ่งมีธาตุอิริเดียมอยู่มากเป็นพิเศษ
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่าอิริเดียมที่มีปริมาณสูงเช่นนี้เกิดได้โดยทางเดียวเท่านั้น
คือ จากอุกกาบาตที่มาจากนอกโลก
ธาตุอิริเดียมน่าจะมาจากฝุ่นซึ่งเกิดจากการระเบิดของอุกกาบาตขณะที่ชนโลกเหมือนกับระเบิดขนาดมหึมาทีเดียว แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ที่ชอบทฤษฏีที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
ต่างก็ มีความเห็นว่า
ไดโนเสาร์นั้นไม่ได้สูญพันธ์ไปอย่างทันทีทันใด
เช่นเดียวกับข้ออ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะค่อย ๆ
ลดน้อยลงในช่วงเวลาหลายล้านปี
และยังแสดงลักษณะของพืชหลาย ๆ ชนิดที่ค่อย ๆ
เปลี่ยนเป็นพืชที่ชอบอากาศเย็น
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังอ้างถึงธาตุอิริเดียมที่มีค่าผิดปกตินั้นว่า
ไม่ได้มาจากการระเบิดของอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนโลก
แต่มาจากการระเบิดของภูเขาไฟ
ซึ่งเกิดขึ้นอย่างมากมายในช่วงสิ้นยุคครีเทเชียส
ธาตุอิริเดียมถูกกักอยู่ในหินหลอมละลายภายใต้โลก
และถูกพ่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่เกิดการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่
|