
ประวัติความเป็นมา
การอนุรักษ์สัตว์ป่ามีต้นกำเนิดมานานาหลายพันปีแล้ว
นับตั้งแต่สมัยกรีก บาบิโลน และโรมัน
ในประเทศอินเดียสมัยพุทธการนับตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ตามหลักฐานทางพุทธศาสนา
พบว่ามีการทำสวนสาธารณะ (Public Park) ที่มีลักษณะเป็นสองทาง หรือ
อิสิปตนมฤดทายวัน ในเมืองสารนาถ ซึ่งเป็นรูปแบบสวนสาธารณะ
เพื่อการพักผ่อนและการเผยแพร่ธารณะ อันเป็นรูปแบบการอนุรักษ์สัตว์ป่ายุคแรกๆ
ควบคู่ไปกับประโยชน์ด้านการพักผ่อนหย่อนใจ
ในประเทศจีนเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วได้มีการดำเนินการเลี้ยงกวางเป็นสวนวางแห่งหนึ่ง
เพื่อประโยชน์ในการขยายพันธุ์และการพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป
ในสมัยกลาง (Middle
Age)
กษัตริย์ทางยุโรปหลายประเทศได้กำหนดเขตป่าบางแห่งเป็นพื้นที่ห้ามล่าสัตว์ป่าและห้ามตัดไม้
เช่นเดียวกับกษัตริย์บางประเทศในอาฟริกาก็มีประกาศห้ามในลักษณะเดียวกัน
แต่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่ยอมรับกันว่าเข้าหลักเกณฑ์สากลแห่งแรกของโลกคือ"ป่าฟอนเทนโบล"
ทางตอนใต้ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
เกิดขึ้นโดยชมรมช่างภาพผู้รักธรรมชาติแห่งฝรั่งเศสได้ผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองจนเป็นผลสำเร็จ
รูปแบบของการอนุรักษ์สัตว์ป่าในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
โดยมากกระทำควบคู่ไปกับการรักษาสภาพป่า
เนื่องจากสัตว์ป่าจำเป็นต้องมีพื้นที่อยู่อาศัย คือ ป่าไม้
เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องการบ้านเป็นที่อยู่อาศัยนั่นเอง
พื้นที่เพื่อการคุ้มครองเหล่านี้มีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น อุทยานแห่งชาติ
(National Park) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (Wildlife Sanatuary)
เขตอนุรักษ์สัตว์ป่า (Wildlife Reserve Area) เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย
การอนุรักษ์สัตว์ป่าเริ่มดำเนินการอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503
เนื่องมาจากในสมัยก่อนประเทศไทยมีทรัพยากรป่าไม้อุดมสมบูรณ์มาก
ทำให้สัตว์ป่าต่างๆ มีปริมาณมากจนไม่น่าเป็นห่วงว่าจะหมดไป
แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประสิทธิภาพของอาวุธต่างๆ พัฒนาขึ้นมาก
เมื่อเลิกรบกันเอง มนุษย์จึงหันมาใช้อาวุธดังกล่าวล่าสัตว์มากขึ้น
ทำให้ประชากรของสัตว์ป่าลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
ประกอบกับป่าไม้ของประเทศไทยได้ถูกทำลายลงมาก
มีการให้สัมปทานทำไม้ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย
พื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจึงลดจำนวนลงตามไปด้วย
กฎหมายการคุ้มครองสัตว์ป่ายุคแรกๆ มีเพียงฉบับเดียวคือ
พระราชบัญญัติการรักษาช้างป่า ร.ศ. 119 (พ.ศ. 2443)
ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ให้การคุ้มครองสัตว์ป่า
แต่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวให้ความคุ้มครองเฉพาะช้างป่าประเภทเดียวเท่านั้น
ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 ประชากรของประเทศไทยเพิ่มจำนวนขึ้นมาก
มีการทำลายป่าและล่าสัตว์ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น
สัตว์ป่าจึงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดความหวั่นวิตกว่า
ในไม่ช้าสัตว์ป่าหลายชนิดอาจสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยก็เป็นได้
รัฐบาลจึงได้ตรากฏหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าขึ้น เรียกว่า
"พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2503"
ลงพระนามในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
โดยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
สมัยที่ทรงดำรงพระยศสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2503
จึงถือเอาวันที่ 26 ธันวาคม ของทุกปี
เป็นวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติสืบต่อมา
ผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า คือ กรมป่าไม้
จึงได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นรับผิดชอบดำเนินการด้านสัตว์ป่าโดยเฉพาะขึ้นในปี
พ.ศ. 2504 เรียกว่า หมวดสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า สังกัดกองบำรุง กรมป่าไม้
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2518
จึงมีการตราพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้และยกฐานะขึ้นเป็น
"กองอนุรักษ์สัตว์ป่า" และเปลี่ยนชื่อเป็น "ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า"
เมื่อกรมป่าไม้ได้ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานใหม่ในปี พ.ศ.
2538
การดำเนินงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2503
มีผลให้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2504 เป็นต้นมา
และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 228 (พ.ศ. 2515)
อีกครั้งหนึ่ง หลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวมานานกว่า 30 ปี
มาตรการต่างๆ
ที่มีอยู่ไม่สามารถทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
ประกอบกับความจำเป็นเร่งด่วนด้านการขยายพันธุ์สัตว์ป่า
และเนื่องจากประเทศไทยได้ลงนามในความตกลงระหว่างประเทศในการร่วมมือกันเพื่อการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าท้องถิ่น
ดังนั้นเพื่อเป็นการปรับปรุงให้มาตรการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศ
จึงได้มีการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเสียใหม่
โดยตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535
ขึ้นใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธุ์ 2535
และยกเลิกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2503
เสีย
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
มุ่งเน้นให้เกิดการคุ้มครอง ป้องกันรักษาสัตว์ป่า
และแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า โดยแบ่งสัตว์ป่าออกเป็น 2 ประเภท
คือสัตว์ป่าสงวน และสัตว์ป่าคุ้มครอง
"สัตว์ป่า" ตามพรบ.
สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 หมายถึงสัตว์ป่าทุกชนิดทั้งสัตว์บก
สัตว์น้ำ สัตว์ปีก แมลงหรือแมง ที่เกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำ
และหมายความรวมถึง ไข่ของสัตว์เหล่านั้นทุกชนิด
แต่ไม่รวมถึงสัตว์พาหนะที่ได้จดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะและไม่ใช่สัตว์พาหนะที่เกิดจากการสืบพันธุ์ของสัตว์พาหนะดังกล่าว
สัตว์ป่า แบ่งออกเป็น 2
ประเภทคือ
สัตว์ป่าสงวน
คือ สัตว์ป่าที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว
ตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
และที่จะกำหนดโดยตรงเป็นพระราชกฤษฎีกา จำนวน 15 ชนิด คือ
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร แรด กระซู่ กูปรีหรือโคไพร ควายป่า ละองหรือละมั่ง
สมันหรือเนื้อสมัน เลียงผาหรือเยืองหรือโครำ กวางผา นกแต้วแล้วท้องดำ
นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เก้งหม้อ พะยูนหรือหมูน้ำ
เพื่อเป็นการคุ้มครองสัตว์ที่ยังมีชีวิต
หรือซากสัตว์ทั้งที่ยังมีอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้วทั้ง 15
ชนิดดังกล่าวข้างต้นไม่ให้ถูกขายตกไปอยู่ในต่างประเทศ
จึงต้องมีบทบัญญัติที่เข้มงวดกวดขัน
สัตว์ป่าคุ้มครอง
หมายถึง สัตว์ป่าที่กำหนดในกฎกระทรวงให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
ยังมีปริมาณพอสมควร
แต่เพื่อเป็นการป้องกันมิให้สัตว์ป่าบางชนิดต้องลดจำนวนลงจนหมดไปในที่สุด
สัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้กำหนดขึ้นแล้วในกฎกระทรวง ประกอบด้วย
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 189 ชนิด นก 182 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 63 ชนิด
สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 12 ชนิด แมลง 13 ชนิด ปลา 4 ชนิด
และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 13 ชนิด
ทั้งสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง กฎหมายห้ามมีไว้ในครอบครอง
ห้ามการนำเข้า และส่งออกทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และซากของสัตว์ป่าเหล่านั้น
ยกเว้นสัตว์ป่าคุ้มครอง
ที่อยู่ในประเภทที่เพาะพันธุ์ได้ซึ่งกำหนดเป็นกฎกระทรวงเช่น จระเข้น้ำจืด
เป็นต้น หรือสัตว์ป่าที่มีอยู่ในครองครองก่อนที่ พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535 ประกาศใช้และได้แจ้งการครอบครองไว้แล้ว
ผลของพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.
2535
การป้องกันสงวนและรักษาถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
โดยการจัดตั้ง
ก. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จัดตั้งขึ้นโดยประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา
เพื่อกำหนดพื้นที่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยปลอดภัย
และให้สัตว์ป่าในพื้นที่ดังกล่าวได้มีโอกาสสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ตามธรรมชาติได้มากขึ้น
โดยไม่ให้มนุษย์เข้าไปรบกวน ปัจจุบัน (ธ.ค. 41)
ได้ประกาศพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าไปแล้วจำนวน 44 แห่ง ทั่วประเทศ
มีเนื้อที่ประมาณ 19,880,837 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 6.19
ของพื้นที่ประเทศ
ข. เขตห้ามล่าสัตว์ป่า
เป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์หรือพื้นที่ใช้ในราชการเป็นส่วนใหญ่
ที่กำหนดให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าบางชนิด
โดยออกเป็นประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามความในมาตรา 42
แห่งพระพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
ปัจจุบันประกาศพื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าไปแล้วทั้งสิ้น 54 แห่ง ทั่วประเทศ
มีเนื้อที่รวม 2,671,050 ไร่
ค.ด่านตรวจสัตว์ป่า
จากการที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์
(Convension on International Trade of Endangered Speais : CITES )
ทำให้ประเทศไทยต้องควบคุมการนำเข้าและการส่งออกพืชและสัตว์ป่านอกราชอาณาจักร
ตามมาตรา 23 และ 24 แห่ง พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
กรมป่าไม้จึงจัดตั้งด่านตรวจสัตว์ป่าขึ้นบริเวณท่าเรือ
ท่าอาศยานและเส้นทางออกนอกประเทศ รวมทั้งสิ้น 49 ด่านในปัจจุบัน
ง. สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535 ห้ามมีสัตว์ป่าทุกชนิดไว้ในครอบครอง
ยกเว้นการเพาะเลี้ยงบางชนิดที่อนุญาตโดยออกเป็นกฎกระทรวง
ให้เพาะเลี้ยงเป็นอาชีพได้แต่ต้องขออนุญาตกรมป่าไม้ตามกฎหมาย
ทำให้ประชาชนที่มีสัตว์ป่าไว้ในครองครองนำสัตว์ป่าเหล่านั้นมามอบให้กรมป่าไม้
สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าจึงทำหน้าที่ดูแลและเพาะพันธุ์สัตว์ป่าเหล่านั้นให้มีปริมาณมากขึ้นและเพียงพอเพื่อนำไปปล่อยให้อยู่ในธรรมชาติ
หรือแจกจ่ายให้ประชาชนที่สนใจนำไปเพาะพันธุ์เพื่อเป็นอาชีพต่อไป
ปัจจุบันได้ตั้งสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าขึ้นแล้ว 18 แห่งทั่วประเทศ
จ. สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า
(แต่เดิมใช้ชื่อว่าศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่า) ทำหน้าที่ส่งเสริม เผยแพร่
ประชาสัมพันธ์ ให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ
และเกิดความสำนึกรู้และสนองตอบโดยการให้ความร่วมมือกับหน่วยงาน สถาบันต่าง ๆ
และประชาชนทั่วไปในการอนุรักษ์สัตว์ป่า
ปัจจุบันได้จัดตั้งสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าขึ้นแล้ว 18
แห่งทั่วประเทศ
ฉ. สถานีวิจัยสัตว์ป่า
ทำหน้าที่ศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ป่าในสภาพธรรมชาติ
ทั้งทางด้านกายภาพ ชีวภาพและนิเวศวิทยา
เพื่อนำความรู้ที่ได้มาจัดการสัตว์ป่าในสภาพธรรมชาติ
ปัจจุบันมีสถานีวิจัยสัตว์ป่าตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่ง เช่น
สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง
สถานีวิจัยสัตว์ป่าเชียงดาว ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว
เป็นต้น
ปัญหาการอนุรักษ์สัตว์ป่า
1.
การลักลอบล่าสัตว์ป่า ในชนบทหรือพื้นที่ห่างไกล
ประชาชนส่วนใหญ่มีปัญหาการขาดแคลนเนื้อสัตว์ในการบริโภค
ชาวชนบทจึงต้องอาศัยเนื้อสัตว์ป่าเป็นอาหาร ประกอบกับเนื้อสัตว์ป่าหายาก
ได้ราคาสูง จึงมีการลักลอบล่าสัตว์ป่าเพื่อการบริโภคและค้าขายมาก
ทำให้จำนวนประชากรของสัตว์ป่าลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
2. การบุกรุกแผ้วถาง
ยึดถือ ครอบครองพื้นที่ป่า
เกิดจากความต้องการพื้นที่เพื่อประกอบเกษตรกรรมของชาวบ้านที่อพยพเข้าไปอยู่ในป่า
และการบุกรุกของนายทุนเพื่อทำรีสอร์ท ทำให้พื้นที่ป่าธรรมชาติถูกแผ้วถาง
ลดจำนวนลงมาก
สัตว์ป่าซึ่งเดิมเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวต้องถอยล่นเข้าป่าลึก
ขาดแคลนพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ประกอบกิจกรรมเกิดการแก่งแย่งพื้นที่กับเจ้าของเดิม
ทำให้สัตว์ป่ามีปริมาณลดน้อยลงอย่างมาก
3.
สภาพการศึกษาไม่ทั่วถึง ชาวชนบทโดยทั่วไปมีการศึกษาน้อย
ไม่ได้รับความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่เข้าใจถึงความสำคัญและคุณค่าที่มนุษย์ได้รับจากสัตว์ป่า
ทำให้สัตว์ป่าถูกล่าเพื่อจุดมุ่งหมายต่างๆ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด
ทำให้ปริมาณสัตว์ป่าลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว
4.
วิธีการอนุรักษ์สัตว์ป่าในปัจจุบันยังไม่ดีพอ
ขาดการเผยแพร่ความรู้ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าสู่ชนบท
ทำให้คนในชนบทไม่รู้ข้อกำหนดหรือกฎหมายด้านสัตว์ป่า
และไม่ใส่ใจที่จะสงวนและรักษาสัตว์ป่า
วิธีการแก้ไขปัญหาการอนุรักษ์สัตว์ป่า
การอนุรักษ์สัตว์ป่าให้ได้ผลจะต้องกระทำในเชิงรุกคือ การป้องกัน
มากกว่าจะใช้วิธีการจับกุมตามกฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมเผยแพร่ เป็นวิธีการป้องกันที่ได้ผลดีที่สุด
การส่งเสริมเผยแพร่มีวิธีการต่างๆ ดังนี้
1.
การให้การศึกษาในระบบโรงเรียน
ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นความสำคัญของความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
จึงได้บรรจุหลักสูตรการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาที่สอนในปัจจุบัน
ผลของการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนด้านสัตว์ป่าตั้งแต่เด็ก
จะทำให้เยาวชนเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับจากสัตว์ป่า
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใกล้ชิดก็ตาม เช่น ทราบว่าเนื้อสัตว์ป่าใช้เป็นอาหารได้
สัตว์ป่าให้ความเพลิดเพลินใจตามธรรมชาติ ช่วยกำจัดศัตรูพืช
ซากของสัตว์ป่าบางชนิดนำมาทำเป็นเครื่องประดับได้
สัตว์บางชนิดมนุษย์นำมาใช้ในการศึกษาทางการแพทย์ เป็นต้น
เมื่อเยาวชนในระบบการศึกษาเติบโตขึ้นเขาจะตระหนักถึงความสำคัญของสัตว์ป่าและนำความรู้เหล่านั้นไปใช้สอนลูกหลานต่อไป
2.
การให้การศึกษานอกระบบโรงเรียน ผู้นำหมู่บ้าน ครู ผู้นำทางศาสนา กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน มีความสำคัญต่อชาวบ้านในพื้นที่มาก
การให้การศึกษาอบรมแก่ผู้นำเหล่านี้ให้ได้รับความรู้ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า
จะทำให้ผู้นำเหล่านี้เป็นสื่อกลางนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ให้ประชาชนในพื้นที่
จะทำให้ได้รับความสนใจและยอมรับมากกว่าจะได้ผลเต็มที่ สะดวก
รวดเร็วและประหยัด
ดังนั้นการพบปะพูดคุยและให้การศึกษาด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าต่อผู้นำชุมชนของหมู่บ้านจึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้รวมถึงการศึกษาอบรมราษฎรผู้นำหมู่บ้านในโอกาสต่างๆ เช่น
ฤดูสัตว์ป่าผสมพันธุ์
ปัจจุบันนี้โครงการอบรมหลายโครงการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ที่ดำเนินการอยู่
เช่น โครงการฝึกอบรมราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) เป็นต้น
3.
การส่งเสริมอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์สัตว์ป่า
ชาวชนบทของไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร
ในบางครั้งมีการขยายพื้นที่ออกเพื่อยึดถือครอบครองเพิ่มมากขึ้น
ทำให้เกิดการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยอาชีพทางการเกษตรเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรเป็นผู้ให้ความรู้
และประสานงานกับเกษตรอำเภอ
เกษตรตำบลในการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าแก่ชาวบ้านควบคู่
ไปกับการส่งเสริมการเกษตรจะช่วยลดการทำลายป่าซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอีกทางหนึ่ง
การเปลี่ยนอาชีพของชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบพื้นที่ป่าไม้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อป่าไม้และสัตว์ป่าได้
เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อการศึกษาและเพื่อความเพลิดเพลิน
ส่งเสริมชาวบ้านในท้องถิ่นให้ประกอบอาชีพอื่น เช่น ค้าขายของที่ระลึก
เป็นมัคคุเทศ เป็นลูกหาบ การส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมอื่นแทนการล่าสัตว์ป่า
เป็นต้น
วิธีการเหล่านี้เมื่อทำสำเร็จจะทำให้ชาวบ้านรู้ถึงคุณค่าของป่าไม้และสัตว์ป่าและสำนึกถึงความมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของพื้นที่เหล่านี้
ผลที่ตามมาคือ ประชาชนในพื้นที่จะช่วยกันรักษาป่าไม้ไว้ได้
4.
การใช้สื่อสารมวลชน
สื่อมวลชนเป็นการติดต่อส่งข่าวสารที่มีประสิทธิภาพมากกระจายข่ายได้รวดเร็ว
กว้างขวาง
การติดต่อกับสื่อมวลชนเพื่อให้ข้อมูลด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าจึงเป็นสิ่งจำเป็นในโลกยุคปัจจุบันมาก
เพราะจะทำให้ความรู้เหล่านี้กระจายออกได้กว้างขวางและทั่วถึง
บทบาทหน้าที่ของเยาวชนต่อการอนุรักษ์สัตว์ป่า
1.
ศึกษาหาความรู้ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ทั้งจากบทเรียน ข่าวสาร บทความ
และจากผู้ใกล้ชิด
เพื่อสะสมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า
2.
หยุดการกระทำที่จะส่งผลต่อการทำลายประชากรสัตว์ป่า เช่น ยิงนก ตกปลา
โค่นแผ้วถางป่า จุดไฟเผาป่า เป็นตัน
นอกจากนั้นถ้ามีโอกาสว่ากล่าวตักเตือนญาติสนิท พื่น้อง
เพื่อหยุดการกระทำดังกล่าว
จะช่วยให้เกิดผลดีต่อการอนุรักษ์สัตว์ป่ายิ่งขึ้นด้วย
3.
เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องในการอนุรักษ์สัตว์ป่า เข่น
นิทรรศการวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ 26 ธันวาคมของทุกปี
การเข้าค่ายเยาวชนเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของโรงเรียน
การจัดกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ต่างๆ ฯลฯ
4. ให้ข้อมูล
ข่าวสาร แก่เจ้าหน้าที่เมื่อพบเห็นการกระทำผิดทั้งการล่าสัตว์ป่า
การถางและเผาป่า การเลี้ยงและขายสัตว์ป่าโดยผิดกฎหมาย
เมื่อไม่สามารถว่ากล่าวตักเตือนและหยุดยั้งการกระทำผิดดังกล่าวได้