http://www.thaiking.org -*- .o ในหลวงกับปวงชน o. -*-
พระราชประวัติ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

                พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  เสด็จพระราชสมภพ  ณ  โรงพยาบาลเมานท์  ออเบิร์น  เมืองเคมบริดจ์  รับฐแมสสาชูเซสท์  ประเทศสหรัฐอเมริกา   เมื่อวันจันทร์  ขึ้น  ๑๒  ค่ำ  เดือนอ้าย  ปีเกาะ  จุลศักราช  ๑๒๘๙  ตรงกับวันที่  ๕  ธันวาคม ๒๔๗๐  มีพระนามเดิมว่า  พระวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช  เป็นประราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช  กรมหลวงสงขลานครินทร์  (พระราชโอรส ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี  พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า)  และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาล  ฌลิมพระนามาภิไธย  เป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร  อดุลยเดชวิกรม  พระบรมราชชนก  และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี  มีพระเชษฐภคินีและพระเชษฐา  คือ  สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา  ประสูติเมื่อวันที่  ๖  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๔๖๖  ณ  กรุงลอนดอน  ประเทศอังกฤษ  กับพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล  เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่  ๒  กันยายน    พุทธศักราช  ๒๔๖๘       ณ         เมืองไฮเดลเบิร์ก  ประเทศเยอรมนี
                เมื่อพุทธศักราช  ๒๔๗๑  ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก  ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยม  จากมหาวิทยาลัยอาร์วาร์ด  ประเทศสหรัฐอเมริกา  เสด็จกลับประเทศไทย  ประทับ  ณ  วังสระปทุม  ต่อมาในวันที่  ๒๔  กันยายน  พุทธศักราช  ๒๔๗๒  สมเด็จพระบรมราชชนกทิวงคต  ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระบรมราชชนนี  พระเชษฐภคินีและพระเชษฐา เพื่อทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษา  ในโรงเรียนเมียร์มองต์  ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส  ภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ  จากนั้นทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา  ณ  เอกอล  นูแวล  เดอลา  ชืออิส  โรมองต์  เมืองแชลลี  ชือ  โลซานน์  ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์จากยิมนาส  กลาชีค  กังโดนาล  แห่งเมืองโลซานน์  แล้วทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลซาสนน์  โดยทรงเลือกศึกษาในแขนงวิชาวิศวกรรมศาสตร์
                ในพุทธศักราช  ๒๔๗  พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล  เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นประมหากษัตริย์  รัชกาลที่ ๘  แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์  พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช  จึงทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น  สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช  เมื่อพุทธศักราช  ๒๔๗๘  และได้โดยเสด็จพระราชดำเนิน  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล  นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งแรก  ในพุทธศักราช  ๒๔๘๑  โดยประทับ  ณ  พระตำหนักจิตรลาดรโหฐาน  พระราชวังดุสิต  เป็นการชั่วคราว  แล้วเสด็จกลับไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์จนถึงพุทธศักราช  ๒๔๘๘  จึงโดยเสด็จพระราชดำเนิน  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล  นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง  ครั้งนี้ประทับ  ณ  พระที่นั่งบรมพิมาน  ในพระบรมมหาราชวัง
                ในวันที่  ๙  มิถุนายน  พุทธศักราช  ๒๔๘๙  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล  เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน  ณ  พระที่นั่งบรมพิมาน  ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ  เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช  จึงเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติสืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น  แต่เนื่องจากยังทรงมีพระราชการกิจด้านการศึกษา  จึงต้องทรงอำลาประชาชนชาวไทย  เสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง  ในเดือนสิงหาคม  พุทธศักราช  ๒๔๘๙  เพื่อทรงศึกษาต่อ  ณ  มหาวิยาลัยแห่งเดิม  ในครั้งนี้  ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมาแบะวิชารัฐศาสตร์  แทนวิชาวิศวกรรมศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่เดิม
                ระหว่างที่ประทับศึกษาอยู่ในต่างประเทศนั้น  ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์  กิติยากรธิดาในพระวรวงศ์เธอ  กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ  (พระนามเดิม  หม่อมเจ้านักขัตรมงคล  กิติยากร  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  ให้สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น  พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้านักขัตรมงคล  เมื่อพุทธศักราช  ๒๔๙๓  และในพุทธศักราช  ๒๔๙๕  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม  มีพระนามว่าพระวรวงศ์เธอ  กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ)  และหม่อมหลวงบัว  (สนิทวงศ์)  กิติยากร  ต่อมาทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิตติ์  กิติยากร  ในวันที่  ๑๙ กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๔๙๒  ณ  เมืองโลซานน์  ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
                ในพุทธศักราช  ๒๔๙๓  เสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร  ประทับ  ณ  พระที่นั่งอัมพรสถาน  พระราชวังดุสิต     ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ      ให้ตั้งการพะราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ        พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทหมิดล         ในเมืองมีนาคม   พุทธศักราช       ๒๔๙๓  ต่อมาในวันที่  ๒๘  เมษายน  ปีเดียวกัน  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเกาสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์  กิติยากร  ณ  พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินททิราบรมราชเทวี  พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า  ในวังสระปทุม  ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้  พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์  กิติยากรขึ้นเป็น  สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
                ในวันที่  ๕  พฤษภาคม  พุทธศักราช  ๒๔๙๓  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น  ณ  พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง  เฉลิมพระบรมนามาภิไธย ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า  พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มหิตลาธิเบศร  รามาธิบดี  จักรนฤบดินทรสยามมินทราธิราช  บรมนาถบพิตร  พร้อมทั้งพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า  เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม  และในโอกาสนี้  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ขึ้นเป็น  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินี
                หลังจากเสด็จการพระราชพิธีบรมราชภิเษกแล้วได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงรักษาสุขภาพ  ณ  ประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ตามที่คณะแพทย์ได้ถวายคำแนะนำและระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์อยู่นั้น  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินี  มีพระประสูติกาลพระราชธิดาพระองค์แรก  คือ  สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ  เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา  สิริวัฒนาพรรณวดี  ซึ่งประสูติ  ณ  โรงพยาบาลมองซัวซีส์  เมืงอโลซานน์  เมื่อวันที่  ๔  เมษายน  พุทธศักราช  ๒๔๙๔    และเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์แรกเจริญพระชันษาได้  ๗  เดือน  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร  ประทับ  ณ  พระตำหนักจิตลดารโหฐาน  พระราชวังดุสิต  จากนั้นทรงย้ายที่ประทับไปประทับ  ณ  พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต  และที่พระที่นั่งอัมพรสถานนี้เอง  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์  พระบรมราชินี  มีพระประสูติกาลพระราชโอรสและพระราชธิดาอีกสามพระองค์  คือ

  1. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช  เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์  สยามมงกุฎราชกุมาร  เสด็จพระราชสมภาพ  เมื่อวันที่  ๒๘  กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๔๙๕
  2. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา  เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร  รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี  สมเด็จพระราชสภาพ  เมื่อวันที่  ๒  เมษายน  ๒๔๙๘
  3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ  เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์  อัครราชกุมารี  ประสูติ  เมื่อวันที่  ๔  กรกฎาคม  พุทธศักราช  ๒๕๐๐

ในพุทธศักราช  ๒๔๙๙  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะทรงผนวช  ด้วยทรงพระราชดำริว่า  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ  ที่ประชาชนของพระองค์เลื่อมใสกันอยู่เป็นจำนวนมาก  ยิ่งทรงมีโอกาสคุ้นเคยกับหลักการและทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน  ระหว่างที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ  ก็ทรงมีพระราชศรัทธายิ่งขึ้น  เพราะได้ประจักษ์แก่พระราชหฤทัยว่า  ธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ประกอบด้วยเหตุผลและสัจจะธรรม  แม้ผู้ใดจะวิจารณ์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์  ก็จะไม่เสื่อมถอยในความนิยมเชื่อถือ  ทั้งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบูรพการีตามคตินิยมอีกโสตหนึ่งด้วย  จึงได้เสด็จออกทรงผนวช  ณ  พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  ในพระบรมมหาราชวัง  เมื่อวันที่  ๒๒  ตุลาคม  พุทธศักราช  ๒๔๙๙  เสด็จการพระราชพีทรงผนวชแล้ว  เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ  ณ  พระตำหนักปั้นหยา  วัดบวรนิเวศวิหาร  โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ  ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ  ในเดียวกันนั้นเอง  และในพุทธศักราช  ๒๕๐๐  ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต  ไปประทับที่พระตำหนักวิตรลดารโหฐาน  พระราชวังดุสิต  จนถึงปัจจุบัน

~*~เข้าสู่หน้าหลัก~*~ ~*~ข่าวสาร~*~ ~*~เกี่ยวกับเรา~*~ ~*~ต่ดต่อทีมงาน~*~ ~*~แผนผังเว็บไซต์~*~